วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Cloud Atlas เวียน-ว่าย-ตาย-เกิด และจุดดับสิ้นของมนุษย์


Cloud Atlas หนังใหม่สุดสัปดาห์นี้ ความจริงแล้วก็ไม่ได้ใหม่มากหรอกครับ เพราะในบ้านเราก็ฉายรอบพิเศษไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อนนู้น แต่รอบฉายจริงเริ่มเมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมานี้เอง ได้ข่าวมาว่าที่อเมริกาหนังเรื่องนี้รายได้ไม่ดีเลย อาจจะคงเป็นผลมาจากพายุเข้าด้วยกระมัง หรือบางคนก็บอกเด้ว่าผู้กำกับอย่าง พี่น้อง Wachowski จะมือตกไปเสียแล้ว ซึ่งช่วงหลังหนังของทั้งสองพี่น้องก็เจ๊งสนิท เช่น speed racer เป็นต้น


สำหรับในประเทศไทยเอง ก็มีคนกลัวๆกันว่าจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะดูจาก teaser เองก็น่า"งง"กันเลยทีเดียว ซึ่งสำหรับผมแล้วหนังไม่ได้ดูยากอย่างที่คนคิดกันไว้นะครับ รีวิวนี้ผมจะมาลองแตกประเด็นให้ผู้อ่านดู ว่าหนังนั้นจะสื่ออะไรกันบ้าง

Cloud Atlas กำกับโดย พี่น้อง Wachowski และ Tom Tykwer ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของ David Mitchell ที่ได้เข้าชิงรางวัล Man Booker Prize ปี 2004 นำแสดงโดยดาราชั้นนำมากมาย เช่น Tom Hanks, Halle Berry, Jim Boardbent, Jim Sturgess, Hugh Grant และอีกมากมายนับไม่ถ้วน

หนังเล่าเรื่องราวทั้งหมด 6 ยุคด้วยกัน ได้แก่
1.ยุคล่าอาณานิคม ค้าทาส
2.ยุคก่อนสงครามโลก
3. ยุควิกฤติสงครามนิวเคลียร์
4. ยุคปัจจุบัน
5. ยุค Neo Seoul เป็นยุคที่โลกเจริญถึงขีดสุด มีการโคลนนิ่งคน
6. ยุดล้มสลายอารยธรรม



หนังเล่าเรื่องราวทั้งหมด 6 ยุคสลับไปมา ซึ่งเริ่มเรื่องแรกๆ หาไม่ตั้งใจดูจริงๆ ก็จะเบื่อแล้วหลับคาโรงได้ แต่ถ้าดูแล้วจับจุดเรื่องราวที่หนังเล่าได้แล้วว่ายุคไหนเป็นยุคไหน หนังก็สนุกทีเดียวครับ

เสียงตอบรับส่วนใหญ่ของหนังคือ หนังมันต้องการสื่ออะไร? สลับไปสลับมาเพื่ออะไรกัน? ส่วนบางคนก็กลัวว่าดูไม่รู้เรื่อง รอแผ่นดีกว่า จริงๆหนังเรื่องนี้มันดูไม่ยากเลยนะครับ หากตั้งใจดูจริงๆ ก็สามารถรับสารที่ผู้กำกับเขาต้องการจะสื่อได้แน่นอน โดยภาพรวมแล้วที่ผมจับสารสำคัญที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อได้เป็น ประเด็นดังต่อไปนี้

1. การเวียนว่ายตายเกิด ประเด็นนี่เป็นประเด็นที่ชัดเจนของหนังทีสุด(สำหรับผม) สังเกตุได้จากการใช้นักแสดงซ้ำๆกันในแต่ละฉาก  ตัวละครทั้งหมดในเรื่องต้องมีชีวิตต่อสู้ดิ้นรนกันในแต่ละชาติ แต่ละยุค ซึ่งมีปัญหาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะความรัก สังคม ฯลฯ แสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตอยู่มันวุ่นวาย ลำบากมากแค่ไหน ซึ่งประเด็นนี้ตรงกับหลักศาสนาพุทธของเรานี่เอง

2. ความไม่จีรังยั่งยืน ทุกๆสิ่่งย่อมถึงจุดดับสิ้น หนังพาคนดูไปสู่โลกที่มนุษย์เริ่มล่าอาณานิคม ยุดที่การเดินทางลำบาก การแพทย์ยังไม่เจริญ แล้วหนังค่อยๆ พาเรามาสู่ยุคที่โลกเราเจริญสุดๆ จนไปสู่ยุคที่ล้มสลายของอารยธรรม มนุษย์ต้องอาศัยในป่า มีความเชื่อเรื่องโชคลาง





3. ผลกรรม ตัวละครทั้งหมดในเรื่องได้พบพานกันในทุกๆ ชาติ บางตัวก็ทำชั่่วไว้ทุกๆชาติจึงโดนเอาคืนในชาติต่อๆมา หรือบางตัวละครก็สะสมความดีมาตลอด เช่น Sonmi 451 ที่สร้างความดีตลอด  จนได้กลายๆเป็นเทพเจ้าในยุคที่มวลมนุษยชาติล้มสลาย หรืออีกอย่างที่ชัดเจนคือ การที่คนผิวขาวดูถูก เหยียดหยามคนผิดดำไว้ในอดีต ทำให้ในอนาคตอารยธรรมของคนผิดขาวนั้นล่มสลาย มีเพียงแค่คนผิวดำนั้นที่ยังมีอารยธรรมหลงเหลืออยู่ และการสร้างนิวเคลียร์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลกรรมของมนุษย์ เพราะการที่ใช้ทำลายล้างกันเอง จึงทำให้อารยธรรมถึงคราวล้มสลาย เพราะน้ำมือของคนด้วยกันนี้เอง

4. เรื่องการเป็นทาส หนังสอดแทรกเรื่องการเป็นให้เห็นอยู่เรื่อยๆ เริ่มจากการเป็นทาสของคนผิวดำในยุคล่าอาณานิคม ต่อมาเมื่อโลกมีความเจริญ มนุษย์ก็เป็นทาสของวัตถุ เช่น นิวเคลียร์ และการเป็นทาสของความเชื่อที่ผิดๆ เช่น พิธีกรรมงมงาย การยกย่องบูชาคนผิด (อยู่ในยุคที่ 6)

5. เรื่องเพศ เชื้อชาติ ความเป็นมนุษย์ หนังแสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดหยามในสิ่่งที่คนอื่นเป็น ไม่ยอมรับความแตกต่าง เช่น การไม่ยอมรับคนรักรวมเพศ การดูถูกคนผิดดำ หรือการมองไม่เห็นคุณค่าของคนโคลนนิ่ง คิดว่าคนโคลนนั้นคิดไม่เป็น ไม่มีจิตใจ


ทั้งหมดนั้นคือประเด็นที่ผมจับใจความได้จากการดูหนังเรื่องนี้ และเมื่อเอาประเด็นทั้งหมดมาประมวลเข้าด้วยกันแล้วจึงเข้าใจว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงชื่อ Cloud Atlas นั่นก็เพราะก้อนเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า ย่อมลอยเควงไปกระทบกับก้อนอื่นเสมอ ทำให้เกิดรูปร่างใหม่ จึงเปรียบเสมือนการกระทำของคนเรานี้เอง ที่ย่อมกระทบต่อคนอื่นเสมอ และการกระทำย่อมเชื่อมโยงกระทบต่ออนาคตด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดเป็นผลพวงตามมา (การสร้างระเบิดในวันนี้ วันหน้าเกิดสงครามล้างโลก อารยธรรมดับสิ้น) ดังนั้นหากมนุษย์หันมาทำดีซึ่งกันและกัน สร้างสรรค์สิ่งดีๆผลที่ตามมา ย่อมมีแต่สิ่งดีๆ เสมอ

สรุปแล้วเป็นหนังที่ดีทีเดียวครับ และก้ดูไม่ยากอย่างที่คนคิดครับ หากตั้งใจดูจริงๆ

ความน่าดู
9/10


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น