สงครามโลกครั้งที่สอง
มีชาวยิวเสียชีวิตราวหนึ่งล้านคน
ท่ามกลางความโหดร้ายในสงครามโลก
มีชายชาวเยอรมันคนนึงเปรียบเหมือนพ่อพระที่คอยปกป้องชาวยิวไว้
“ออสการ์ ชินด์เลอร์”
Schindler’s List (กำกับโดย Steven Spielberg) เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สองผ่านตัวละครอย่าง
ออสการ์ ชินด์เลอร์ หนังเริ่มต้นด้วยภาพสีในพิธีซับบาทของชาวยิว
หลังจากนั้นหนังเริ่มเป็นภาพขาวดำจนจบเรื่อง ซึ่งการที่ผู้กำกับเปลี่ยนจากภาพสีเป็นภาพขาวดำหลังจากพิธีซับบาทก็เป็นการสื่อว่า ความโหดร้ายกำลังเกิดขึ้น ซึ่งเหมือนกับโลกไม่มีสีสันอีกต่อไป
ออสการ์ ชินด์เลอร์ (Liam Neeson) เป็นนักธุรกิจชาวเยอรมันที่เข้ามาในโปแลนด์เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์จากสงคราม
เขาเปิดโรงผลิตภาชนะเคลือบโดยจ้างคนงานชาวยิวในราคาต่ำ
นั่นทำให้ออสการ์กอบโกยผลกำไรได้อย่างมากมาย
จากนั้นไม่นาน ทหารเยอรมันได้กวาดล้างชาวยิวในโปแลนด์ในสลัมให้ไปอยู่ในค่ายกักกันต่างๆตามเมือง
จุดนี้เอง ที่ทำให้ออสการ์เปลี่ยนใจมาช่วยเหลือชาวยิวมากมายจนสงครามโลกสิ้นสุด
ตลอดทั้งเรื่อง หนังได้แสดงให้เห็นถึงความป่าเถื่อนของทหารเยอรมันที่มีต่อชาวยิว
ซึ่งหากเป็นภาพสีละก็คงได้เห็นเลือดท่วมจอเป็นแน่ครับ
ตัวหนังเป็นภาพขาวดำตลอดเรื่องครับ
ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ หนังได้ทำภาพสีอยู่สองช่วงตลอดการดำเนินเรื่อง คือ
ช่วงการกวาดล้างชาวยิว หนังได้โฟกัสไปที่เด็กผู้หญิงโดยให้เด็กใส่เสื้อโค้ทสีแดง
ซึ่งก็หมายถึงการนองเลือดนั่นเอง เพราะเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นไปสู้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว
และฉากต่อมาคือจุดจบของเด็กผู้หญิงคนนี้ในค่ายกักกันชาวยิว หนังได้ใช้ภาพสีแดงในสีชุดของเธอเท่านั้น
นอกจากนี้ช่วงที่หนังโฟกัสไปที่เด็กหญิงในชุดสีแดง
ก็เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้ ชินด์เลอร์ ตระหนักถึงความโหดร้ายที่ตามมา และทำให้เขาอุทิศตัวช่วยเหลือชาวยิวนั่นเอง
ตัวละครอีกตัวที่น่าสนใจคือ เกิธ
ทหารเยอรมันที่ได้รับมอบหมายดูแลค่ายกักกัน
เขาเป็นตัวละครที่แสดงให้เห็นถึงความป่าเถือนของทหารเยอรมันต่อชาวยิวได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะฉากที่เขาตื่นนอนขึ้นมาและเดินไปที่หน้าต่าง ยิงคนยิวที่เดินขี้เกียจอู้งาน
ซึ่งเป็นความป่าเถื่อนของทหารเยอรมันที่เห็นได้ตลอดเรื่อง
แม้เกิธ จะมีความป่าเถื่อนอยู่ในตัว แต่ลึกๆเค้าก็มีความอ่อนโยนเหลืออยู่
เพราะเค้าแอบหลงรักสาวใช้คนยิวในค่าย ในช่วงก่อนจบสงครามเขาปรารถนาที่จะพาเธอไปอยู่ด้วย
และฉากที่เกิธคุยกับหล่อนในห้องนอนของหล่อน เขาบอกว่าเขาอาจจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอบ้าง
เขาอยากจะช่วยเธอบ้าง การคุยกันนี้แสดงให้เห็นว่าเขายังมีความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่
แม้มันจะเป็นความคิดแบบฉันชู้สาวก็ตาม และถึงแม้สุดท้ายเค้าก็ลงมือทำร้ายเธอก็ตาม
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้คำพูดของออสการ์เป็นจริง
“หากเขาไม่ได้อยู่ในสงครามบ้าๆนี่
เขาคงเป็นคนดีทีเดียวละ”
สงครามทำให้คนกลายเป็นคนป่าเถื่อนได้จริงๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือชีวิตของชินด์เลอร์
เขาเป็นนักอุตสหกรรมที่สามารถฉกฉวยผลพวงจากสงครามได้มากมาย
ซึ่งทำให้เขารวยขึ้นมาได้ทันตาเห็น
ช่วงแรกจะเห็นว่าเขาไม่ได้จะมีความคิดที่จะช่วยเหลือชาวยิวเลย
เขาเพียงแค่ต้องการผลประโยชน์เท่านั้นเอง และช่วงหลังสงครามเขาไม่ประสบความสำเร็จใดๆเลยในการทำธุรกิจต่างๆ
นี่แหละครับคงเป็นผลกรรมของเขาที่ได้หากินกำความยากลำบากของผู้อื่น
แต่คุณงามความดีของเขาที่ได้ช่วยชีวิตชาวยิวไว้
1000 ชีวิต ซึ่งก็พอที่จะทำให้มีคนช่วยเหลือเขาในการทำธุรกิจช่วงหลังสงครามโลก
เขาได้รับการช่วยเหลือมากมายจากคนยิวในช่วงหลังสงคราม
นี่คือสิ่งดีงามของการทำความดีละครับ
หากคุณผู้อ่านต้องการศึกษาถึงความโหดร้ายของสงครามละก็
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหมาะมากละครับ ลองหามาดูกันนะครับ
ความน่าดู
8/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น